ชิปปิ้งจีน จับตามอง 5 เทรนด์ E-Commerce 2020 มาแน่! เตรียมปรับตัว

ชิปปิ้งจีน 5 trends_thaitopcargo ชิปปิ้งจีน ชิปปิ้งจีน จับตามอง 5 เทรนด์ E-Commerce 2020 มาแน่! เตรียมปรับตัว 5 trends thaitopcargo 768x402

ชิปปิ้งจีน ตามทันเทรนด์ของ E-Commerce เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน

สำหรับปีนี้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับธุรกิจ E-Commerce คือเรื่องของการใช้เทคโนโลยี แคมเปญส่งเสริมการขาย ตลอดจนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า

ทั้งนี้ Thaitopcargo ได้รวบรวมข้อมูล เพื่อให้ผู้ประกอบการชิปปิ้งจีนหรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ เตรียมรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า และเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งรู้จักเลือกและชาญฉลาดในการเลือกสินค้า และต่อไปนี้คือสิ่งที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้อย่างแน่นอน

1.นิยมซื้อสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน

ยังคงเป็นกระแสต่อเนื่องกับการซื้อสินค้าผ่านทางสมาร์ทโฟน อ้างอิงผลการสำรวจของ TheStandardThailand พบว่า คนไทยซื้อสินค้าผ่านทาง Social Media 40% (เช่น LINE , Facebook , Instagram) e-Marketplace ถึง 35% (Lazada , Shopee , JD CENTRAL และ e-Tallers หรือ e-Brand ถึง 25% สำหรับการซื้อทั้ง 3 รูปแบบนี้ ล้วนเป็นการซื้อสินค้าผ่านทางสมาร์ทโฟนกว่า 99% โดยพบว่าพฤติกรรมของลูกค้ายุคปัจจุบันอยากได้อะไรต้องได้! ทำให้ผู้ประกอบการต้องทำงานแข่งขันกับอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นของผู้บริโภค จนไปถึงกระบวนการตัดสินใจซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่นาที และเป็นเพียงไม่กี่นาทีที่เกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน

เพราะฉะนั้น ก่อนจำหน่ายสินค้า ต้องเตรียมข้อมูลของสินค้าเหล่านั้นให้พร้อม เพื่อรองรับกับการเปิดใช้งานบนสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของ ภาพถ่าย พร้อมรายละเอียดของสินค้า ภาพเคลื่อนไหวแนวตั้ง เนื่องจากสมาร์ทโฟนโดยส่วนใหญ่มักถือใช้งานกันในแนวตั้งราว 94% ของเวลาใช้งานทั้งหมด และมีอัตราการชมเนื้อหาเหล่านั้นจนจบสูงถึง 90% รวมไปถึงหน้าเว็บไซต์ของร้านค้าต้องพร้อมที่จะรองรับการดาวน์โหลดข้อมูลสินค้าได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งสำคัญ คือ ช่วงเวลาที่จะทำให้เกิดรายได้ คือ รูปแบบของระบบการชำระเงิน ต้องมีขั้นตอนที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าปลอดภัย ขณะเดียวกันต้องใช้งานได้ง่าย สะดวก และไม่ซับซ้อน รวมไปถึงสามารถให้ลูกค้าตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อ ติดตามสถานการณ์จัดส่งสินค้า แสดงความคิดเห็น มีสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้เกิดขึ้นได้

2.มีมากกว่าสินค้า

ไม่ใช่เพียงแค่มีสินค้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ไม่ได้เข้ามาในร้านค้าเพียงเพื่อซื้อสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่หมายความว่าเข้ามาอัพเดตข่าวสารต่างๆ ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการดู LIVE สด เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า เล่นเกมเพื่อรับส่วนลดพิเศษ ติดตามดีลส่วนลดพิเศษต่างๆ การสร้าง Content ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย มีความจริงใจ และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ นับว่าเป็นอีกเหตุผลที่ช่วยให้สามารถขายสินค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งการมีสิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้ลูกค้าที่อยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ตาม สามารถใช้เวลาได้ยาวนานขึ้นบน Platform เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ต ก็หมายความถึงโอกาสในการขายสินค้าจะมีมากขึ้นตามไปด้วย

3.นักช็อปออนไลน์เปิดใจมากขึ้น

ในยุคสมัยใหม่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า นักช็อปออนไลน์ ไม่ได้ซื้อเพียงแค่ ของใช้ เครื่องประดับ สินค้าเทคโนโลยี สินค้าแฟชั่น ฯลฯ ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น แต่ยังมีสินค้าที่ได้รับความนิยมจำพวก ประกันชีวิต ประกันภัยรถยนต์ ผ่านช่องทางนี้อีกด้วย เพราะนักช็อปได้มองเห็นว่าการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์สามารถทำได้ง่ายและสะดวก

4.แคมเปญปังๆ รวมกันมาซื้อ

นับได้ว่าปี 2019 ที่ผ่านมา แคมเปญส่งเสริมการขายที่มักพบได้บ่อย คือ Share Buy ซึ่งลักษณะของแคมเปญซื้อสินค้าแบบกลุ่ม ‘ซื้อกลุ่ม คุ้มกว่า’ จะได้ในราคา ‘ถูกกว่า’ ทำให้สามารถรวมกลุ่มกับเพื่อน สมาชิกในครอบครัว หรือ ลูกค้าท่านอื่นที่สนใจในสินค้าตัวเดียวกัน เพื่อให้ได้สินค้าในราคาพิเศษมากขึ้น แล้วช็อปปิ้งอย่างไรให้ได้ราคาที่คุ้มค่ายกแก๊ง ฟินทั้งผู้ซื้อ ฟินทั้งเพื่อน ยิ่งหาเพื่อนมาร่วมด้วยช่วยแจมกลุ่ม นั่นหมายความว่ายิ่งซื้อเยอะ ราคาของสินค้ายิ่งถูกลงเท่านั้น แคมเปญลักษณะนี้นอกจากจะสร้างยอดขายได้แล้ว ยังทำให้แคมเปญเป็นที่รู้จัก และถูกพูดถึงกันเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากสินค้าถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้นเท่าไหร่ Brand Awareness ของร้านค้าก็จะมากขึ้น โอกาสในการปิดการขายก็จะมีมากขึ้นเช่นกัน

5.Socials Platform เลือกใช้ให้เป็น

ถึง Social Platform มีหลากหลายแบบให้เลือกใช้งาน แม้เป็นเช่นนั้น ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สินค้าของคุณนั้นเหมาะกับ Social Platform แบบไหน สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยคือต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณนั้นคือใคร และต้องทำความเข้าใจด้วยว่าการทำงานของแต่ละโซเชียลนั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์

Instagram เป็น Platform ที่นำเสนอรูปภาพ ถ้าต้องการจะจำหน่ายผ่านช่องทางนี้ คุณต้องมีฝีมือในการถ่ายภาพสินค้าให้สวยงาม เพื่อสร้างจุดขายและสร้างความดึงดูด เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจอยากติดตาม

Facebook เป็น Platform นำเสนอแคปชั่น และ VDO ซึ่งเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุด พ่อค้าและแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่นิยมอย่างมากกับช่องทางนี้ เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ทั้งยังตั้งงบประมาณสำหรับใช้ลงโฆษณา (Facebook Ads) เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามที่ต้องการได้อีกด้วย

Line และ Line Official (Line@) เป็น Platform ที่ช่วยในเรื่องของการสื่อสารที่สมควรมีเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้องมีหลังจากที่คุณได้มีเพจ Facebook หรือร้านค้าบน Instagram แล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเป็นช่องทางที่ช่วยให้สามารถสื่อสาร พูดคุยกับลูกค้าได้รวดเร็วทันที ช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้พูดคุยกับเจ้าของร้านค้า ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในการเลือกซื้อสินค้า ขณะเดียวกันร้านค้ายังสามารถอัพเดทสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ โปรโมชั่นล่าสุด ฯลฯ ไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

ยิ่งเป็นผู้ประกอบการชิปปิ้งจีนหรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ด้วยแล้ว ยิ่งต้องอัพเดทข่าวสารและเทรนด์การขายสินค้าออนไลน์อย่างสม่ำเสมอ หากคุณสามารถตามทันเทรนด์และคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้ว ยิ่งทำให้ร้านค้าหรือบริการชิปปิ้งจีนก้าวนำคู่แข่ง ส่งผลให้รู้ว่าต้องปรับปรุงพัฒนาร้านค้าต่อไปได้อย่างไร และต้องเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในปีหน้าได้อย่างไร อีกทั้งช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

อ้างอิงข้อมูล : TheStandard.co , smethailandclub.com , thumbsub.in.th , growthbee.com